มี 5 สาเหตุหลักดังนี้ ( งานจ้างเหมารายย่อย )
1.หนังสือสัญญา
ในบางครั้ง ปัญหาในการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างของผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างรายย่อยอาจมีปัญหามากกว่า การก่อสร้างเสียด้วยซ้ำไป เพราะเขียนไม่เป็นและก็ไม่ประสงค์จะไปจ้างทนายความช่วยเขียนให้ เพราะไม่อยากเสียเงิน ทำให้ไม่ได้เขียนสัญญากัน หรือมีการเขียนสัญญากันแต่ก็เขียนแบบง่ายๆ ไม่ครอบครุม ไม่ชัดเจน เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต่างฝ่ายต่างมีความเข้าใจกันไปคนละทางสองทาง ปัญหาที่ควรแก้ไขด้วยข้อสัญญา กลับไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ต้องไปฟ้องร้องกันในศาล
2.การสื่อสาร หรือ RFI ( Request for information) ในงานก่อสร้าง
การก่อสร้างโครงการใดโครงการหนึ่ง สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่อง “คน” แม้โครงการนั้นจะมีขนาดเล็ก เช่นขนาด 1 ห้องนอน 1ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเพียง 20 ตารางเมตร ก็ต้องมี “คน” เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างหลายคน เช่น.ช่างปูน ช่างเหล็ก(หลังคา) ช่างไฟฟ้า ช่างฝ้า ช่างสี ช่างประปา ช่างประตูหน้าต่าง(อลูมิเนียม) และกรรมกร เป็นต้น โดยคนกลุ่มนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ ผู้รับจ้าง(ผู้รับเหมา) ซึ่งคนในกลุ่มนี้ก็ต้องมีการสื่อสารระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา และถ้าการสื่อสารดังกล่าว ไม่มีประสิทธิภาพ คลาดเคลื่อน คลุมเครือ และหลงลืม เพราะเป็นการใช้วาจาในการสื่อสาร ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือความผิดพลาดและเสียหายของงานขึ้น และถ้าความเสียหายนั้นรุนแรงมาก ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ส่งผลให้ผู้รับจ้างตัดสินใจทิ้งงานตามมา
การสื่อสารอีกส่วนหนึ่งก็คือ ระหว่างผู้ว่าจ้าง กับผู้รับจ้าง ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมาก จากการรวบรวมข้อมูลจาก ที่ปรึกษางานก่อสร้างส่วนใหญ่แล้ว พบว่าการสื่อสารด้วยวาจา หรือ Verbal ในงานก่อสร้าง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างทั้งสองฝ่ายขึ้น เพราะการสื่อสารด้วยวาจาและไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือลายลักษณ์อักษรนั้น ย่อมเกิดความไม่ชัดเจน คลาดเคลื่อน คลุมเครือ และหลงลืม เมื่อเกิดปัญหาขึ้นต่างฝ่ายก็ต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกัน จนนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งและทิ้งงานตามมา
3.ผู้รับจ้าง(ฝ่ายผู้รับเหมา)
ผู้รับเหมาบางรายเติบโตมาจากช่าง หรือพนักงานประจำบริษัทก่อสร้าง เมื่อสบช่องทางจึงต้องการจะรับงานเอง ทั้งที่ไม่มีความพร้อมด้านเงินทุน เมื่อรับงานมาแล้วขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนงาน คนงานก็หนี หรือไม่มีเงินจ่ายค่าวัสดุ ทำให้ไม่มีวัสดุมาใช้ทำงานต่อ จึงทิ้งงานเสีย และผู้รับเหมาบางรายม่มีความรู้เรื่องการบริหารจัดการด้านการเงิน ไม่มีการทำบัญชี หรือนำเงินค่าจ้างเหมามาปะปนกับค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเนื่องจากเงินค่างวดในแต่ละงวดมีอัตราจำนวณมาก เมื่อรับเงินมาแล้วก็นำเงินไปใช้จ่ายนอกระบบ
การรับงานในราคาจ้างเหมาที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาด เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีงานจึงต้องรับงานมาทำให้ได้ เพราะต้องการนำเงินมาหนุมก่อน หรือขาดงานจึงต้องหางานมาเลี้ยงคนงานก่อน จึงเสี่ยงรับงานมาก่อน เมื่อได้งานมาแล้วทำไปสักพักก็คิดว่าทำไม่ไหว จึงทิ้งงาน
ปัญหาเรื่องจำนวนช่างหรือคนงานที่เพียงพอและเหมาะสมกับงาน การขาดแคลนช่างก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้งานล่าช้า ส่งงานไม่ทันตามสัญญาจึงเป็นเหตุให้เสียค่าปรับจำนวนมาก จึงตัดสินใจทิ้งงาน
อีกประเด็นหนึ่งก็เป็นเรื่อง การทำงานที่ไม่มีคุณภาพ ใช้ช่างที่มีฝีมือราคาถูก เร่งงานจนเกินไป และการใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อผลงานปรากฏขึ้นและต้องแก้ไขงานดังกล่าว และการแก้ไขงานในแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่ายติดตามมาจึงกระทบในเรื่องการเงินและระยะเวลาก่อสร้าง เมื่อรู้ว่าทำไปก็ไม่มีกำไรจึงทิ้งงาน
4.ฝ่ายผู้ว่าจ้าง(เจ้าของโครงการ)
ในกรณีที่แบบและสัญญาก่อสร้างไม่มี หรือมีแต่ก็ไม่ละเอียดชัดเจน ผู้ว่าจ้างบางรายก็มักจะเรียร้องให้ผู้รับเหมาต้องทำในงานนั้น หรือในส่วนที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้รับเหมา หรือมีการสั่งงานปรับเปลี่ยนแบบและวัสดุบ่อยครั้งหรือโดยกะทันหัน มีการเพิ่มงานโดยไม่ให้ค่าจ้างเพิ่ม เอาเปรียบผู้รับเหมามากเกินควร หรือจ่ายค่างวดงานล่าช้า หรือเร่งรัดงานเพื่อให้งานแล้วเสร็จมากเกินไป
ความคาดหวังที่สูงเกินไป ในมุมมองความคิดของผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่จะมีแนวความคิดที่ว่า บ้าน อาคาร ของตนต้องสวยงาม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐาน Perfect ที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการก่อสร้างในทุกที่ไม่ว่ามูลค่าโครงการจะเป็น หลักสิบล้าน หรือร้อยล้าน หรือแม้กระทั่งโครงการรัฐสภา ก็ตามก็ไม่มีโครงการไหนสมบูรณ์หรือเป็นไปตามมาตรฐาน Perfect ทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าเจ้าของโครงการไม่เผื่อใจที่จะยอมรับปัญหาเล็กๆน้อยๆที่มักเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เช่น.ปัญหางานฉาบผนังแตกร้าว
ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ประสบการณ์ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะการสร้างบ้านหรืออาคารสักหนึ่งหลัง ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำกันได้บ่อยๆ บางคนเก็บเงินมาเป็นสิบๆปีจึงจะมีเงินพร้อมเพื่อมาก่อสร้าง เมื่อผู้ว่าจ้างไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ ก็หาความรู้ทางสื่อโซเชี่ยวออนไลน์ต่างๆ และสิ่งที่ได้ข้อมูลมาก็เป็นเรื่องความเลวร้ายน่ากลัวของผู้รับเหมาเป็นส่วนมาก จึงเกิดความระแวงวิตกกังกลขึ้น และเมื่อมีปัญหาหรืออุปสรรค์เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกๆโครงการต้องมี เช่น.วัสดุบางรุ่นบางตัวที่ระบุไว้ในสัญญา ขาดตลาดถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ทั้งนี้อย่าลืมว่าของบางอย่างถ้ายังไม่ประกอบเข้าไปงานอื่นก็ไม่สามารถทำต่อได้ หรือวัสดุที่ระบุในสัญญานั้นเลิกผลิตไปแล้วจึงต้องหาวัสดุทดแทน หรือแบบก่อสร้างกับหน้างานก่อสร้างจริงขัดแย้งกันเป็นต้น กล่าวคือตลอดช่วงระยะเวลาก่อสร้างนั้นจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื้องานอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เมื่อผู้ว่าจ้างไม่เผื่อใจไว้หรือไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ถ้าจะให้ผู้รับเหมาตัดสินใจเองไปเลยกลัว จึงเป็นเหตุให้งานสะดุดลงและอาจขยายไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งได้ จนอีกฝ่ายตัดสินใจทิ้งงาน
5.ไม่มีที่ปรึกษางานก่อสร้างหรือตัวกลางที่จะคอยให้คำแนะนำแก่ทั้งสองฝ่าย
โดยปกติการแต่งตั้งผู้บริหารงานก่อสร้างมักจะใช้กับงานโครงการก่อสร้างขนาดกลาง-ใหญ่ ไม่นิยมใช้กับงานโครงการขนาดเล็ก เนื่องจากถือว่าเป็นภาระต้นทุนของค่าก่อสร้าง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษามาช่วยดูแลจัดการแนะนำเรื่องงานก่อสร้างจะมีความคุ้มค่ามากกว่า หากเทียบกับปัญหาการทิ้งงาน การทะเลาะเบาะแว้ง หรือคำแนะนำบางเรื่องอาจช่วยลดต้นทุนจากการก่อสร้างได้อีกด้วย
งานก่อสร้างเป็นงานที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก มีการเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก และใช้ระยะเวลามากด้วย จึงหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาคงเป็นไปไม่ได้ ทุกโครงการจึงมีปัญหาไม่มากก็น้อย ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาขึ้นคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีการเจรจาและปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางออกหรือวิธีแก้ไข การเจรจาและปรึกษาหารือถ้ามีคนกลางที่มีประสบการณ์ มีเหตุมีผลมีความเป็นธรรม ก็จะเป็นประโยชน์แก่โครงการก่อสร้างนั้นๆได้ ด้วยเหตุนี้ทุกโครงการก่อสร้างควรมีที่ปรึกษาก่อสร้างไว้ค่อยช่วยเหลือ โดยจะเป็นการจ้างแบบประจำหรือพาร์ทไทม์ก็ได้