1. ตรวจสอบสัญญา
ตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาเกี่ยวกับความล่าช้า เช่น:
กำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการ
เงื่อนไขการขยายเวลา
ข้อกำหนดเรื่องเบี้ยปรับ (Liquidated Damages)
2. แจ้งเตือนผู้รับจ้าง
ส่งหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการ (Notice of Delay) ให้ผู้รับจ้างทราบถึงการล่าช้า พร้อมกำหนดระยะเวลาให้ดำเนินการแก้ไขหรือเร่งรัดงานตามที่ตกลง
หากจำเป็น ให้บันทึกเหตุการณ์และสภาพปัจจุบันของโครงการเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
3. ประเมินเหตุล่าช้า
ตรวจสอบเหตุล่าช้า:
เป็นเหตุที่เกิดจากผู้รับจ้าง เช่น ขาดแคลนแรงงานหรือวัสดุ
เป็นเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) เช่น ภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลในการขยายเวลา
ประเมินผลกระทบ: ดูว่าความล่าช้าส่งผลต่อโครงการอย่างไร เช่น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหรือผลกระทบต่อการใช้งาน
4. เรียกเก็บเบี้ยปรับ
หากความล่าช้าเกิดจากผู้รับจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกเก็บเบี้ยปรับตามอัตราที่ระบุในสัญญา (เช่น เบี้ยปรับรายวันต่อมูลค่างาน)
5. พิจารณาการบอกเลิกสัญญา
หากผู้รับจ้างยังไม่สามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จ หรือมีการละเมิดเงื่อนไขในสัญญา ผู้ว่าจ้างสามารถ:
บอกเลิกสัญญา (Termination of Contract)
ใช้สิทธิเรียกคืนเงินค้ำประกันผลงาน (Performance Bond) หากระบุไว้ในสัญญา
การบอกเลิกสัญญาควรเป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดในสัญญา เช่น การแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมให้โอกาสแก้ไข
6. ดำเนินการทางกฎหมาย (ถ้าจำเป็น)
หากไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้ว่าจ้างสามารถดำเนินการทางกฎหมาย เช่น:
ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) หากระบุไว้ในสัญญา
7. จ้างผู้รับจ้างรายใหม่ (หากจำเป็น)
เมื่อบอกเลิกสัญญาเดิม ผู้ว่าจ้างสามารถจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่เพื่อดำเนินโครงการต่อ
ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้รับจ้างใหม่มีคุณสมบัติและสามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม
ข้อควรระวัง
ทุกขั้นตอนควรมีเอกสารหลักฐาน เช่น หนังสือแจ้งเตือน บันทึกการประชุม หรือภาพถ่ายความคืบหน้าของงาน
ปรึกษาฝ่ายกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญา
การดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวจะช่วยลดข้อพิพาทและรักษาสิทธิของผู้ว่าจ้างในกรณีที่มีความล่าช้าเกิดขึ้นจากผู้รับจ้าง.