ใครกันแน่ที่ต้องจ่าย

เรื่องจริงที่เกิดขึ้น จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลย รวมค่าก่อสร้างเป็นเงิน 1,260,000 บาท ตกลงแบ่งชำระค่าก่อสร้างเป็น 4 งวด งวดที่ 1 เป็นเงิน 300,000 บาทภายหลังมีการเลิกสัญญาก่อสร้างเมื่อโจทก์ก่อสร้างอาคารให้จำเลยจนครบงวดงานที่ 1 แล้ว โดยจำเลยชำระค่าวัสดุแทนโจทก์ ไปจำนวน 132,612 บาท และโจทก์เบิกเงินค่าแรงงานไปจากจำเลย จำนวน 82,832 บาท จำเลยคงค้างงานอยู่อีก 84,556

1. ตรวจสอบสัญญา ตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาเกี่ยวกับความล่าช้า เช่น: กำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการ เงื่อนไขการขยายเวลา ข้อกำหนดเรื่องเบี้ยปรับ (Liquidated Damages) 2. แจ้งเตือนผู้รับจ้าง ส่งหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการ (Notice of Delay) ให้ผู้รับจ้างทราบถึงการล่าช้า พร้อมกำหนดระยะเวลาให้ดำเนินการแก้ไขหรือเร่งรัดงานตามที่ตกลง หากจำเป็น ให้บันทึกเหตุการณ์และสภาพปัจจุบันของโครงการเพื่อใช้เป็นหลักฐาน 3. ประเมินเหตุล่าช้า ตรวจสอบเหตุล่าช้า: เป็นเหตุที่เกิดจากผู้รับจ้าง เช่น ขาดแคลนแรงงานหรือวัสดุ

เมื่อรายการหม้อแปลงไฟฟ้าระบุในแบบแปลนแนบท้ายสัญญา แต่ไม่มีระบุในใบประมาณราคา เรื่องที่เกิดขึ้นจริง “ผู้รับจ้างก็ยัง “มีหน้าที่ตรวจดูแบบแปลนโดยละเอียด” เพื่อทราบว่าในแบบแปลนมีกําหนดงานติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าและผู้ฟ้องคดีจะต้องประมาณราคางานติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าเสนอต่อเทศบาลเพิ่มเติมด้วย โดยไม่อาจอ้างว่างานติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าไม่มีกําหนดอยู่ในสัญญา” (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 489/2559)

             ในกรณีที่ท่านต้องการ จะวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟฟ้า สายInternet เหล่านี้มาใช้  แต่เนื่องจากบ้านของท่านอยู่ในตำแหน่งที่  การวางระบบข้างต้นนั้น  ต้องทำผ่านที่ดินของผู้อื่น นั้น  ก่อนอื่นนั้นท่านจะต้องขออนุญาตกับเจ้าของที่ดินที่จะทำการวางระบบ  ในกรณีที่เค้ายินยอมก็ถือว่าโชคดีไป  แต่หากไม่ยินยอมละ  ทางกฎหมายก็มีทางออกให้ท่าน  โดยท่านต้องทำการเสนอค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว  หากตกลงกันได้ก็ดีไป  แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องใช้กระบวนการตามกฎหมาย  เพื่อให้ศาลท่านช่วยตัดสิน ตัวอย่างจริงจากคำตัดสินของศาล ฎีกาที่ 423/2544 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยยินยอมให้โจทก์วางท่อระบายน้ำในที่ดินของจำเลยซึ่งตกเป็นทางจำเป็น โดยโจทก์ยอมใช้ค่าทดแทนให้ 30,000