ที่มา: สภาองค์กรของผู้บริโภค
แก้กฎหมายควบคุมอาคาร : ความปลอดภัยหรือผลประโยชน์?
ความพยายามในการ แก้กฎหมายควบคุมอาคาร ของ กทม. ที่อ้างถึง “ความปลอดภัย” แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนจะทำให้ความปลอดภัยของประชาชนลดลง นำไปสู่คำถามที่ว่าการปรับเปลี่ยนกฎหมายฉบับนี้ เป็นไปเพื่อความปลอดภัยหรือผลประโยชน์กันแน่
ปัจจุบันกำลังมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายอาคารสูงในกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมายยังไม่ได้ประกาศใช้ โดยที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีการอ้างเหตุผลในการแก้ไขกฎกระทรวงใน พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ในครั้งนี้ เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของคนกรุง แต่หากพิจารณาเนื้อหาของกฎหมายที่ถูกปรับเปลี่ยนก็จะพบว่า การแก้กฎหมายในครั้งนี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยในอาคารสูงแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ร่างกฎหมายฉบับใหม่กลับลดทอนความปลอดภัยทั้งของคนที่อยู่ในอาคารสูงรวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
เมื่อได้อ่านละเอียดในเนื้อหาจะพบว่า ระหว่างบรรทัดของกฎหมายฉบับนี้กลับดูเหมือนจะเอื้อให้อาคารสูงที่เคยผิดกฎหมาย กลายเป็น ถูกกฎหมาย หรือเป็นการ “ฟอกขาว” ให้อาคารที่ผิดกฏหมายใช่หรือไม่ โดยไม่ต้องรับผลกระทบจากการละเมิดข้อกำหนดที่มีมาโดยตลอด มิหนำซ้ำยังเปิดโอกาสให้สามารถสร้างอาคารสูงได้ ในพื้นที่ที่ในกฎหมายเก่าห้ามสร้าง ซึ่งจะทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ แน่นขนัดไปด้วยตึกสูงยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจนสุ่มเสี่ยงอันตรายกรณีอัคคีภัย หรือแผ่นดินไหว จนมีการตั้งคำถามว่า แก้กฎหมายควบคุมอาคารแล้ว…ใครได้ประโยชน์กันแน่ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ซื้อ และรวมถึงชุมชนใกล้เคียง
แก้กฎหมายควบคุมอาคาร เรื่องความกว้างถนน : เปลี่ยนผิดเป็นชอบ?
ในกฎกระทรวงฉบับเดิม กำหนดไว้ว่า อาคารสูง* หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ** ต้องมีทางเข้าออกติดถนนสาธารณะที่เขตทาง*** ไม่น้อยกว่า 10 เมตร ถ้าพื้นที่อาคารมากกว่า 30,000 ตารางเมตร ต้องมีเขตทาง 18 เมตร ตลอดแนว ซึ่งการกำหนดความกว้างของถนนเช่นนี้ จะทำให้รถดับเพลิงเข้าถึงได้ เมื่อเกิดภัยพิบัติ และการอพยพออกจากพื้นที่ทำได้สะดวก
แต่ร่างกฎหมายใหม่ กำหนดให้ อาคารสูงหรือขนาดใหญ่พิเศษต้องมีทางเข้าออกติดถนนสาธารณะที่เขตทางไม่น้อยกว่า 10 เมตร ส่วนพื้นที่อาคารมากกว่า 30,000 ตารางเมตร ต้องมีเขตทาง 18 เมตร อย่างน้อย “หนึ่งทิศทาง” แปลว่าหากเกิดไฟไหม้ รถดับเพลิงอาจเข้าไปช่วยได้ค่อนข้างลำบาก ขณะที่คนในพื้นที่ก็จะอพยพออกมายากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอาจมีถนนด้านใดด้านหนึ่งที่เขตทางแคบ จนทำให้รถไม่สามารถสัญจรได้สะดวกซึ่งก็จะอันตรายในกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัต เช่น แผ่นดินไหวด้วย
ที่ผ่านมามีอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษหลายแห่งที่มีปัญหาเรื่องความกว้างถนน ยกตัวอย่างคลาสสิกก็เช่น อาคารดิเอทัส (The Atas) ที่อยู่ในซอยร่วมฤดี พบปัญหาการร้องเรียนเรื่องความกว้างของถนนที่ไม่ถึง 10 เมตรตลอดแนว อาคารดังกล่าวถูกร้องเรียนตั้งแต่ปี 2548 จนกระทั่งปี 2557 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้รื้อถอนอาคาร แต่จนถึงปัจจุบันกว่า 10 ปีหลังคำพิพากษา อาคารยังคงเปิดให้บริการ และยังไม่ถูกรื้อถอน
เจ้าหน้าที่ กทม. เคยให้ข้อมูลในเวทีของสภาผู้บริโภค “10 ปี ดิเอทัส (The Aetas) กับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด” ถึงสาเหตที่ยังไม่สามารถรื้อถอนว่า เกิดจากความซับซ้อนของกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติอย่างรอบคอบและครบถ้วน นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณและทรัพยากรที่ต้องใช้ในการรื้อถอนอาคารด้วย
คำถามสำคัญคือ หากรายละเอียดของกฎหมายมีการแก้ไข จะส่งผลให้อาคารประเด็นเรื่องการรื้อถอนอาคารดังกล่าวถูกยิบหยกขึ้นมาถกเถียงอีกหรือไม่ ในเมื่ออาคารนี้ก็ดูจะไม่ผิดกฎหมายอีกแต่ไปหากมีการแก้กฎหมาย และแน่นอนว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากเรื่องนี้ก็คือ ผู้ประกอบการ